วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554

666" เลขประจำตัวซาตานมาจากไหน

666" เลขประจำตัวซาตานมาจากไหน

          ที่มาของเลขซาตาน หรือ 666 นั้นมาจากคำทำนายที่ถกเถียงกันอย่างไม่สิ้นสุดในพระคัมภีร์วิวรณ์ ซึ่งเป็นบทสุดท้ายในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ พระคัมภีร์วิวรณ์เล่าถึงวันสิ้นโลก (Armageddon) ซึ่งเกิดมหาสงครามขึ้นระหว่างความดีและสิ่งชั่วร้าย โดยในที่สุดความดีหรือพระเจ้าจะเป็นผู้ได้รับชัยชนะ ทั้งนี้ในคัมภีร์นี้เรียกซาตานว่าเป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์

          บทที่ 13 ของคำภีร์วิวรณ์กล่าวถึงเลข 666 อย่างชัดเจน โดยได้บรรยายถึงสัตว์ร้ายหรือซาตานที่มีอำนาจชั่วช้าและคุณลักษณะของเหล่าสาวกของมัน โดยมีตอนหนึ่งระบุว่า บนมือขวาและหน้าผากของพวกมันจะมีเครื่องหมายของซาตานบ่งบอกไว้ ซึ่งก็คือหมายเลข 666 นั่นเอง

          นานนับหลายร้อยปีแล้วที่บรรดานักเทววิทยาครุ่นคิดและพยายามตีความภาษาเชิงสัญลักษณ์ที่เต็มไปด้วยคำทำนายเหล่านี้ และยังคงเป็นประเด็นถกเถียงกันถึงความหมายที่แท้จริงของหมายเลขนี้ นักเทววิทยาที่ศึกษาเรื่องวันสิ้นโลกบางกลุ่มตีความว่า "สัตว์ร้าย" คือสิ่งมีชีวิตที่ถูกควบคุมโดยผู้ที่ต่อต้านพระคริสต์ หรือเป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์เอง ขณะที่นักวิชาการบางกลุ่มเชื่อว่าหมายเลข 666 ในคัมภีร์วิวรณ์อ้างถึงบุคคลในประวัติศาสตร์ เช่น ดร.เดลเบิร์ต ฮิลเลอร์ ซึ่งเชื่อว่าหมายเลขนี้เป็นรหัสของจักรพรรดิเนโร รวมถึงจักรพรรดิของชาวโรมันองค์อื่นๆ อีก ซึ่งมีเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์สนับสนุนด้วย เนื่องจากจักรพรรดิเหล่านี้ปราบปรามและเข่นฆ่าทั้งชาวยิวและชาวคริสต์ในยุคแรกอย่างหนัก ขณะที่ทราบกันว่า ชน 2 กลุ่มนี้มีชีวิตอยู่รอดด้วยการใช้ตัวเลขและรหัสเพื่อหลบหลีกการถูกประหัตประหารภายใต้การปกครองของจักรพรรดิโรมัน

          นอกจากนี้ ยังมีคำถามว่าทำไมถึงต้องเป็นเลข 666 แต่ก็ไม่มีคำตอบที่แน่ชัด บางกลุ่มเชื่อว่า เลข 6 เป็นเลขของมนุษย์ เนื่องจากคัมภีร์ไบเบิลเล่าว่าพระผู้เป็นเจ้าสร้างมนุษย์ในวันที่ 6 ขณะที่ซานตานนั้นถูกระบุว่าเป็นสิ่งมีชวิตที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (ตรงข้ามกับแนวคิดที่พระเจ้าเป็นศูนย์กลาง) ดังนั้น หมายเลขของซาตานน่าจะเกี่ยวพันกับหมายเลขของมนุษย์และเป็นที่มาของหมายเลข 666 อย่างไรก็ตาม คำอธิบายดังกล่าวเป็นเพียงหนึ่งในทฤษฎีที่ถกเถียงกันอย่างไม่มีวันจบเกี่ยวกับเลขนี้เท่านั้น

          แต่ที่แน่ๆ มีชาวคริสต์ไม่น้อยที่หวาดหวั่นกับตัวเลขนี้ ไม่แพ้กับเลข 13 จึงไม่น่าแปลกที่ต่างพยายามหลีกเลี่ยงการใช้เลขอาถรรพณ์เหล่านี้ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อบริษัทอินเทลผลิตซีพียูรุ่นเพนเทียม 3 ความเร็ว 666 เมกะเฮิร์สออกมาในปี 1999 ก็ตัดสินใจวางจำหน่ายในชื่อ "Pentium III 667" แทน

วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554

ตํานาน พญาครุฑ

  ในตํานานเมืองฟ้าป่าหิมพานต์นั้น มีเรื่องราวของสัตว์ที่มีอิทธิฤทธิ์มากมายหลายชนิด เช่น ราชสีห์ คชสีห์ อันมีลําตัวเป็นสิงห์แต่มีศรีษะเป็นช้าง กินรี กินนร และสัตว์แปลกๆอีกมากมาย ในบรรดาสัตว์ทั้งหลายนั้นมี 2อย่างที่นับว่าเป็นเทพ มีอิทธิฤทธิ์มากคือ พญาครุฑ จ้าวแห่งเวหา อีกหนึ่งคือ พญานาคราช จ้าวแห่งบาดาล
พญาครุฑ
  พญานาคนั้นมีวิมานอันเป็นทิพย์อยู่ในเมืองบาดาล ส่วนพญาครุฑนั้นก็มีวิมานฉิมพลีอยู่ที่เชิงเขาไกรลาสและได้รับพรให้เป็นอมตะ ไม่มีศาสตราวุธใดๆสามารถทําร้ายได้ แม้แต่สายฟ้าของพระอินทร์ กล่าวว่าองค์พญาครุฑนั้นมีนามว่า ท้าวเวนไตย เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ท้าวสุบรรณ ซึ่งหมายถึง(ขนวิเศษ) มีกายเป็นรัศมีสีทอง มีเดชอํานาจมากที่สุดในหมู่ครุฑทั้งหลาย อาศัยเกาะอยู่ตามต้นงิ้ว อาศัยผลงิ้วและนําดอกไม้จากตันงิ้วเป็นอาหารทิพย์ ลูกพญาครุฑจะโตขึ้นนับเวลาอายุเป็นข้างขึ้นข้างแรมตามจันทรคติ เติบโตด้วยบุญกุศลที่เคยทํามา หากลูกครุฑตนใดที่มีบุญญาธิการมามาก อํานาจจะบันดาลให้เกิดผลงิ้วทิพย์และน้ำหวานจากดอกไม้มาบําเรอลูกครุฑตนนั้นๆและลูกครุฑตนดังกล่าวจะจําเจริญวัยได้อย่างรวด

  นาคและครุฑต่างเป็นสัตว์ที่คู่กันมาตามตํานาน มีเรื่องราวเล่ากันว่าในขณะที่พระพรหมกําลังสร้างโลกอยู่นั้น พระทักษะปชาบดีได้ยกลูกสาวทั้ง13คนให้ ฤาษีกัสยปะเทพบิดร และเกิดบุตรหลานเป็นจํานวนมาก โดย นางกัทรุ หนึ่งในบรรดาลูกสาวทั้ง13คนนั้นได้เป็นมารดาของนาคและงู1000ตัว ส่วน นางวินตา ผู้เป็นน้องก็ได้ให้กําเนิดไข่2ฟองซึ่งต้องใช้เวลาฟักนานมาก นางวินตา ทนรอไม่ไหวจึงทุบไข่ฟองนึงให้แตกเป็นตัวออกมา บุตรของ นางวินตา เมื่อออกมาแล้วปรากฎว่าเป็น ชายครึ่งนก แต่มีสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์เพราะออกมาจากไข่เร็วเกินไปดังนั้นบุตรชายครึ่งนกก็กราบทูลพระมารดาว่า ให้รอไข่อีกฟองแตกตัวออกมาโดยวิธีธรรมชาติ ก็จะได้บุตรชายครึ่งนกที่มีสภาพร่างกายสมบูรณ์ จะมีบุญญาธิการและพละกําลังมหาศาลและจะคอยให้ความช่วยเหลือนางวินตาพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง พอกล่าวจบบุตรครึ่งนกตนแรกก็บินจากนางไป และไปเป็นสารถีให้พระสุริยะเทพ และมีนามที่เรียกกันว่า อรุณเทพบุตร ซึ่งถือเป็นพี่ชายของพญาครุฑ
  ต่อมานางกัทรุและนางวินตาได้พนันกันว่าม้าที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่เหล่าทวยเทพและอสูรกวนน้ำอมฤต ที่วิ่งไปวิ่งมาอยู่บนสวรรค์นั้นมีหางสีอะไรถ้าใครแพ้ก็ต้องเป็นข้ารับใช้ตลอดไป นางวืนตาเลือกตอบว่าหางของม้านั้นเป็นสีขาว ส่วนนางกัทรุนั้นได้ตอบว่าเป็นสีดําแต่จริงๆแล้วนางกัทรุได้รู้แจ้งอยู่แล้วว่าหางของม้าเป็นสีขาวและนางกัทรุกลัวแพ้จึงได้คิดวางอุบายขึ้นโดยให้ลูกงูทั้ง1000ตัวนั้นเข้าไปพันอยู่รอบๆหางของม้าให้หางของม้าดูแลกลายเป็นสีดํา และเมื่อม้าตัวนั้นวิ่งมาถึงนางทั้ง2ก็เห็นหางของม้าเป็นสีดํา นางวินตา เลยจําต้องยอมแพ้และกลายเป็นข้ารับใช้ของนางกัทรุ

  ในขณะนั้นเองไข่ฟองที่2ของนางวินตาก็ได้ฟักตัวออกมา เมื่อแรกเกิด ร่างกายขยายตัวออกใหญ่โตจนจดฟ้า ดวงตราเมื่อกระพริบเหมือนฟ้าแลบ เวลาขยับปีกใด บรรดาขุนเขาก็ตกใจต้องปลาดหนีไปพร้อมกับพระพาย รัศมีพวยพุ่งออกมาจากกายสว่างไสวเป็นที่อัศจรรย์ มีลักษณะดั่งไฟไหม้ไปทั่วทั้งสี่ทิศ กระทําให้ทวยเทพต้องตกใจ สําคัญว่าเป็นพระอัคนี ต่างพากันมาบูชา เพื่อขอความคุ้มครอง หลังจากนั้นก็ได้ออกบินไปตามหานางวินตาผู้เป็นมารดาจนพบ นางวินตาจึงเล่าเรื่องที่ถูกนางกัทรุใช้กลโกงในการพนันจนต้องมาเป็นทาสรับใช้ พอทราบเรื่องเข้าก็ทำให้บุตรชายครึ่งนกของนางวินตา รู้สึกโกรธแค้นนางกัทรุและนาคเป็นอันมาก จึงทําให้บุตรชายครึ่งนกของนางวินตาเป็นศัตรูกับพวกนาคและงูกันมาตลอดเจอกันเมื่อไรเป็นต้องต่อสู้กัน แต่นางวินตาก็ได้ร้องขอและได้ห้ามไว้ไม่ให้ไปทำอะไรกับฝ่ายนางกัทรุและเหล่านาคอีก เพราะต้องการรักษาคำพูดและรักษาสัตย์ที่ได้ตกลงกันไว้นั้น บุตรชายครึ่งนกของนางวินตาก็ยอมอยู่กับนางวินตาและยอมเป็นข้ารับใช้นางกัทรุและบรรดาลูกๆของนางคือนาคกับงู 1000 ตัวด้วย
  ในที่สุดบุตรชายครึ่งนกของนางวินตาได้เข้าไปเจรจาขอแลกอิสรภาพจากนางกัทรุและเหล่านาคให้แก่มารดาของตน นางกัทรุจึงได้ขอแลกกับน้ำอมฤตเป็นการแลกกกับอิสระภาพของนางวินตา บุตรนางวินตาจึงบินไปหาน้ำอมฤตในทันที ในระหว่างทางก็ได้พบกับฤาษีกัสปะเทพบิดรผู้เป็นบิดา ซึ่งได้แนะนำให้บุตรนางวินตาบินไปยังทะเลสาปแห่งหนึ่งและจับกินเต่ายักษ์และช้างที่กำลังสู้กันเพื่อเพิ่มพลังในระหว่างการเดินทางไปหานําอมฤต บุตรนางวินตาจึงได้จับสัตว์ทั้งสองกินแล้วออกบินต่อไป พอมาถึงต้นไทรต้นหนึ่งก็ได้แวะลงไปเกาะที่กิ่งต้นไทร ต้นไทรนี้มีฤาษี 4ตนกำลังบำเพ็ญตบะอยู่ พอบินลงมาเกาะจึงทำให้กิ่งต้นไทรหัก บุตรนางวินตาจึงจับกิ่งไม้นั้นไว้เพื่อไม่ให้ฤาษีทั้ง 4ตนตกลงไป ฤาษีทั้ง 4จึงเรียกบุตรนางวินตาว่า "ครุฑ" แปลว่า "ผู้แบก" หรือผู้ซึ่งยกของหนักได้ บุตรของนางวินตาจึงได้ชื่อว่า "พญาครุฑ" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

  เมื่อข่าวเรื่องพญาครุฑจะมาขโมยน้ำอมฤตรู้ถึงพระอินทร์ พระอินทร์จึงสั่งเพิ่มเหล่าบรรดากำลังทหารสวรรค์ให้เข้มแข็ง โดยชั้นนอกให้เหล่าเทวดาสวรรค์และทูตสวรรค์รักษาไว้ ให้หม้อน้ำอมฤตอยู่ตรงกลางกงจักรที่มีงูยักษ์ 2ตัวหมุนกงจักรและจุดไฟล้อมรอบเอาไว้เพื่อป้องกันและขัดขวาง เมื่อพญาครุฑเดินทางมาถึงก็ได้ต่อสู้กับบรรดาเหล่ากองทัพทหารสวรรค์อย่างดุเดือด และก็ใช้ปีกกระพือลมพัดเหล่าทหารเทวดาสวรรค์จนแตกพ่าย เหล่าบรรดาทหารสวรรค์ไม่สามารถต้านทานฤทธิ์เดชอํานาจของพญาครุฑได้จึงพ่ายแพ้และสูญสลายไปจนหมดสิ้น แล้วจึงบินพุ่งลงไปอมน้ำในมหาสมุทรมาพ่นดับไฟที่ลุกอยู่ล้อมรอบกงจักรนั้นเสีย และกินงูที่กำลังหมุนกงจักรอยู่นั้นอีกด้วย แล้วจึงเข้าชิงนำน้ำอมฤตกลับมาไถ่ตัวมารดา พระอินทร์จึงเข้าขัดขวางจึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น พระอินทร์ใช้สายฟ้าฟาดเข้าที่บริเวณปีกของพญาครุฑเข้าอย่างจังแต่สายฟ้าของพระอินทร์มิอาจทําอันตรายต่อพญาครุฑได้เลย ในที่สุดพระอินทร์จึงยอมแพ้ต่อพญาครุฑ และพญาครุฑจึงได้มอบขนปีกให้กับพระอินทร์หนึ่งเส้นเพื่อเป็นเกียรติแก่พระอินทร์ และนับจากนั้นมาพญาครุฑจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ท้าวสุบรรณ"แปลว่า"ขนวิเศษ"

  เรื่องราวการรบครั้งนั้นได้เลื่องลือล่วงรู้ไปถึงสามโลกธาตุ จนร้อนถึงพระนารายณ์ต้องลงมาช่วยปราบ จนเกิดการต่อสู้กันอย่างดุเดือดระหว่างพระนารายณ์และพญาครุฑ ต่อสู้กันจนฟ้าลั่นแผ่นดินสะเทือนแต่ทั้งพระพระนารายณ์และพญาครุฑต่างก็ไม่มีใครแพ้ใครชนะ ทั้งสองจึงยุติศึกและทำสัญญาเป็นไมตรีต่อกัน โดยพญาครุฑสัญญาที่จะรับเป็นพาหนะให้กับพระนารายณ์ตลอดไปและเป็นธงครุฑพ่าห์สําหรับปักอยู่บนรถศึกของพระนารายณ์ ส่วนพระนารายณ์ก็ได้ให้พรความเป็นอมตะแก่พญาครุฑและไม่มีใครทำลายได้ เสร็จแล้วพญาครุฑจึงได้นำน้ำอมฤตไปไถ่ตัวนางวินตาผู้เป็นมารดาในเวลาต่อมา

  
  ครุฑเป็นสัตว์กึ่งโอปปาติกะ หรือกึ่งกายทิพย์กายสิทธิ์คล้าย ชาวลับแล และ พวกพญานาค อยู่อีกมิติหนึ่งจากโลกของเรา ผู้ที่สามารถจะพบเห็นพญาครุฑได้นั้นต้องเคยมีบุญร่วมกับเขามา จึงจะสามารถรับรู้ถึงกันและกันได้ เหมือนกับผู้ที่สามารถติดต่อกับพญานาคได้เช่นกันล้วนต้องเป็นผู้ที่มีบุญวาสนาต่อกันมาตั้งแต่อดีตกาลทั้งนั้นไม่ใช่เรื่องสาธารณะที่จะรู้กันได้ทั่วกันไปเช่นสามัญ

  เรื่องของพญาครุฑเป็นเรื่องราวที่มีความอัศจรรย์ โลดโผนมาก แต่คนทั่วไปไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าใดนัก ความเป็นจริงแล้วเรื่องราวของพญาครุฑเป็นเรื่องที่น่าศึกษามากเพราะทางฮินดูเขานับถือครุฑว่าเป็นเทพเจ้าพระองค์หนึ่งเลยทีเดียว แม้แต่ในไทยของเราเอง ทางไสยศาสตร์ก็ให้ความนับถือเกี่ยวกับครุฑนี้มาก ดูอย่างตราประจําแผ่นดินเองก็มีลักษณะเป็น ครุฑ จึงน่าสนใจว่า ครุฑ นั้นมีอานุภาพบางอย่างและน่าจะเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงในอีกมิติหนึ่ง

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

ตำนานแวมไพร์

ตำนานแวมไพร์


    ชื่อนี้หลายๆคนคงจะรู้จักกันดีหากจะกล่าวถึงผีดูด เลือดที่โด่งดังที่สุดคงจะหนีไม่พ้น Dracula ครับ แต่ว่าแวมไพร์นั้นมีมานานแค่ไหนแล้วยังไม่มีใครทราบ ว่ากันว่าแวมไพร์ตนแรกคือ Judas สาวกพระเยซูที่ไปแจ้งข่าวให้พวกโรมันรู้ในคืนอาหารคำมื้อสุดท้ายและเป็นเหตุ ให้พระเยซูถูกจับตรึงไม้กางเขน Judas ผู้นี้ภายหลังรู้สึกสำนึกผิดเลยคิดฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอกับต้นไม้แต่ว่าทำ ยังไงตัวเองก็ไม่ตายเพราะถูกผู้คนสาปแช่งให้เป็นอมตะ มีชีวิตอยู่ได้แค่ตวันลับขอบฟ้าและลิ้มรสได้แต่เลือดสด Lucifer หรือซาตานเทพผู้ทรยศสวรรค์เห็นดังนั้นจึงได้ครอบงำจิตใจของ Judas ถือกำเนิดเป็นแวมไพร์ตนแรกขึ้น

แต่เท่าที่ผมดูมา แวมไพร์ตนแรกไม่น่าจะใช่ Judas เพราะตำนานแวมไพร์นั้นมีมาก่อนหน้านั้นตั่งแต่สมัยกรีกโบราณ 3000 ปีก่อน Lamiae เป็นสตรีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวมักเที่ยวดูดเลือดเด็กเล็กๆจนตาย
และยังชีพด้วยเลือดสดๆเช่นนั้นตลอดมา โรมันซึ่งรับอารยธรรมจากกรีก ก็มี " ลาเมียเอ
" ของตนเหมือนกัน เมื่อโรมันแพร่อิทธิพลให้กับชาติอื่นๆ แต่ในบางแห่งก็กล่าวว่าแวมไพร์ตนแรกคือ Lilith ซึ่งเป็นมนุษย์เพศหญิงที่ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมอาดัมแต่ทิ้งอาดัมไปอยู่กับ ซาตาน ดังนั้นพระเจ้าเลยสร้างอีฟขึ้นมาแทนที่

ผีดูดเลือด " ฝรั่งเรียกว่า แวมไพร์ ( Vampire )
ซึ่งที่จริงเป็นชื่อของค้างคาวชนิดหนึ่งที่มีอยู่ดาษดื่นในทวีปอเมริกาใต้
มันมักกัดกินเลือด จากสัตว์อื่นที่ใหญ่กว่ามันจนตายไปคาที่ คำว่า แวมไพร์
มาจากภาษาฮังกาเรียนว่า Vampir
อีกต่อหนึ่งและดินแดนฮังการี่นี่เองที่มีตำนานผีดูดเลือดโด่งดังกว่าที่อื่นในโลก
เคาน์แดร็กคูล่าทั้งตัวจริงและตัวปลอมต่างก็มีถิ่นฐานบ้านเกิดในดินแดนทรานส์ซิลวาเนียใกล้เคียงกับฮังการี
- รูมาเนีย นี้หละ

นักจิตวิทยาพยายามศึกษาค้นคว้าว่าเหตุใดจึงเกิดมีตำนานเกี่ยวกับผีดูด เลือดแวมไพร์ขึ้นในโลกในที่สุดก็ลงความเห็นน่าจะเกิดจากสมัยดึกดำบรรพ์ที่คน เราเพิ่งเริ่มพัฒนาขึ้นมาจากสัตว์นั่นเอง
คนสมัยนั้นนิยมกินเนื้อคนด้วยกัน
อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า"แคนนิบาลิสม์"Cannibalismถึงแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านเลย ไปแต่สัญชาติญาณดึกดำบรรพ์ที่ป่าเถื่อนนั้นยังคงติดแน่นอยู่ในสันดานของคน บางคนอย่างถอนไม่ออกสัญชาติญาณป่าเถื่อนนี้จึงแสดงออกมาในรูปของความโหดร้าย ทารุณ
ฆ่ากันแล้วดื่มเลือดกัน เป็นต้น การรักษาพยาบาลคนประเภทนี้ต้องรักษาทางจิต
ซึ่งก็มีน้อยรายนักที่จะหายได้

ประเพณีทางศาสนาเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดผีดูดเลือดทางอ้อมขึ้น
กล่าวคือ ศาสนาเก๋ากึ๊กส์ต่างๆ มักเกี่ยวข้องกับความโหดร้าย
เช่นพวกอินเดียนแดงในแถบอเมริกาใต้และอเมริกากลางบางพวก
นิยมเชือดคอเหยื่อเอาเลือดเซ่นสังเวยเทวรูปพวกฮินดูโบราณก็เหมือนกัน
มักเชือดคอสัตว์เป็นๆสังเวยเจ้าแม่กาลีหรือเจ้าแม่ทุรคาอยู่เสมอ
มีวิหารแห่งหนึ่งในอินเดียที่เซ่นสังเวยเจ้าแม่กาลีชนิดไม่ยอมให้เลือดแห้งที่บูชาเลยทีเดียว
การบูชาเทวดาแบบนี้หละทำให้คนคุ้นเคยกับเลือด และเห็นว่าเป็นของวิเศษของเทวดา
หากมนุษย์ได้เสพเข้าบ้างอาจเก่งกาจเหมือนเทวดาก็ได้ บางคนจึงลองดื่มเลือดดู
จึงก่อให้เกิดนิยายผีดูดเลือดขึ้น เป็นต้น

คนแทบทุกคนมีแนวโน้มจะกลัวผีอยู่ในส่วนลึกของจิตใจด้วยกันทั้งนั้นเมื่อพบเห็นความผิดปรกติบางอย่างของคนด้วยกัน
ก็มักเอาไปโจษขานต่อเติมเสริมแต่งให้กลายเป็นเรื่องผีที่น่าสะพรึงกลัวใหญ่โตเช่น
คนบางคนฆ่าเพื่อนตายแล้วกินเลือดไปบ้างเช่นนี้
แทนที่จะพิจารณาว่าบุคคลนั้นมีความวิปริตทางจิต
ก็ลงความเห็นว่าเขาเป็นผีดูดเลือดหรือผีดิบเข้าไปเลย
เสียงเล่าลือเกี่ยวกับผีดูดเลือดจึงกระฉ่อนไปทั่วโลกจนถึงเดี๋ยวนี้
แม้ในปัจจุบันอันเจริญเต็มที่ด้วยวิทยาการทันสมัย
ก็ยังมีคนเป็นจำนวนมากที่เชื่อถือในเรื่องผีดูดเลือดอาละวาดอยู่เสมอ
จนเป็นข่าวหนังสือพิมพ์เกรียวกราวเกี่ยวกับการล่าผีดูดเลือด

ผีดูดเลือดนั้นตามตำนานและนิยายต่างๆไม่มีทางป้องกันได้
แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็อาจหาทางกำจัดได้ด้วยกรรมวิธีดังต่อไปนี้ตามหาหลุมศพผีดูดเลือดนั้นให้พบ
ผีดูดเลือดจะกลับหลุมก่อนฟ้าสว่างเพราะมันกลัวแสงแดด เมื่อพบศพนอนอยู่ในหลุม
ก็ให้ใช้ไม้เสี้ยมปลายแหลมแทงทะลุอกในครั้งเดียว คือจะแทงซ้ำแทงซ้อนกันไม่เกิดผล
ผีดูดเลือดจะไม่ตายสนิทเมื่อแทงอกทะลุหัวใจแล้วยังไม่พอ
ต้องเอากระเทียมยัดปากศพ แล้วตัดหัวให้ขาดในแับเดียวด้วย
นับเป็นการกำจัดผีดูดเลือดคืนชีวิตอย่างเด็ดขาด
เสร็จสรรพแล้วก็เผาเสียให้สิ้นซากไปเลย

ว่ากันว่า ผีดูดเลือดซึ่งมักเป็นฝรั่งนั้น
กลัวสิ่งของอยู่หลายอย่างเหมือนกัน ที่กลัวมากที่สุดคือไม้กางเขน
ข้าวเกรียบศักดิ์สิทธิ์และดอกกระเทียม
คนที่กลัวผีประเภทนี้จึงแขวนช่อดอกกระเทียมไว้ตามประตูหน้าต่างบ้าน แต่สิ่งที่ทำลายผีดิบได้ฉกาจฉกรรจ์อีกอย่างนอกจากมือคนที่จะตอก ไม้แหลมเข้ากับอกมันแล้ว
ได้แก่แสงแดด ซึ่งจะทำให้มันมอดไหม้เป็นจุณไป
หรือสายน้ำไหลก็ทำให้ผีดุดเลือดสิ้นฤทธิ์เอาได้ง่ายๆด้วยในบรรดาคดี " ผีดูดเลือด "
ตัวจริงทั้งหลาย ในแฟ้มคดีอาญาของตำรวจทั่วโลกนั้น
มีอยู่คดีหนึ่งที่ครึกโครมเป็นข่าวที่กล่าวขวัญทั่วไป
นั่นคือ เรื่องราวของผีดูดเลือดสาวซึ่งออกอาละวาดสดๆร้อนๆในปี 1970 -
1980 นี้เอง มิใช่สมัยโบร่ำโบราณที่ไหนเหตุเกิดที่เมือง มานอส ประเทศ บราซิล
มีผู้พบศพเด็กอายุประมาณ 10 ขวบคนหนึ่งนอนตายอยู่ในเวลาพลบค่ำ
ก่อนพบศพเด็กคนนั้นพยานได้เห็นหญิงสาวสวยคนหนึ่งเดินจ้ำออกไปอย่างลุกลี้ลุกลนเจ้าหล่อนผู้นั้นผิวขาวสวยผมสลวยลงเคลียไหล่
แต่งกายด้วยกระโปรงชุดมินิสเกิ๊ตสีอ่อน
และสวมถุงน่องสีดำเมื่อหล่อนลับตัวไปแล้วพยานจึงเข้าไปพบศพเด็กชายคนนั้นอยู่ข้างพุ่มไม้ทึบ
สิ้นใจแล้วแต่เนื้อตัวยังอุ่นอยู่ ตรงลำคอมีรอยรูเล็กๆ 2 รู
ตรงจุดที่เป็นเส้นเลือดใหญ่พอดี
สันนิษฐานว่าคงถูกกัดเจาะด้วยเขี้ยวแหลมคมเหมือนเขี้ยวสัตว์ต่อมาก็เกิดคดีเด็กเสียชีวิตแบบนี้อีก
2 - 3
รายทุกรายล้วนแต่มีผู้พบเห็นสตรีสาวในชุดมินิสเกิ๊ตป้วนเปี้ยนอยู่ด้วยทั้งนั้น
จึงโจษขานกันไปต่างๆนานาบ้างก็แจ้งความให้ตำรวจจับ
ซึ่งตำรวจก็ไปซุ่มด้อมๆมองๆตามที่ซึ่งคิดว่ามีผีดูดเลือดสาวสวยจะไป แต่ก็ปราศจากผลจนกระทั่งคืนหนึ่งชายหนุ่มคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นขึ้นไปบน โรงพักกุมลำคอที่โชกเลือดไปให้ดูด้วยว่ามันมีรูเล็กๆเหมือนเขี้ยวสัตว์
2 รูที่นั่นเลือดไหลรินออกมาไม่หยุดชายหนุ่มเล่าว่าเขาได้พบสาวสวยคนหนึ่ง และ
แต่งชุดมินิสเกิ๊ตเดินอยู่ชายหาดเจ้าหล่อนชายหูชายตาให้เขาอย่างเป็นนัยๆ
ชายหนุ่มก็เลยเข้าไปผูกสัมพันธ์ด้วยจนกระทั่งถึงขั้นกอดรัดในความมืดแต่ทันใดนั้นเอง"
ผมรู้สึกเจ็บแปลบที่ลำคอ " ชายหนุ่มเคราะห์ร้ายเล่า "
ทำให้นึกถึงเรื่องผีดูดเลือดขึ้นได้จึงสะบัดเต็มแรงจนผู้หญิงคนนั้นผงะไปผม เห็นหล่อนอ้าปากกว้างมีเขี้ยวแหลมยาวสองซี่เปรอะเลือดของผมแดงเถือก
เห็นเท่านั้นผมก็ตกใจเกือบสิ้นสติ รีบสะบัดจนหลุดแล้ววิ่งมานี่หละครับ
"คราวนี้ตำรวจยกกำลังไปที่ชายหาดนั้นทันทีแต่ไม่พบร่องรอยสาวสวยผีดูดเลือดคนนั้นเลยแม้แต่เงาจนป่านนี้ก็ยังหาตัวไม่ได้
แต่คดีคนถูกดูดเลือดจนตายไม่เกิดขึ้นอีกแล้วจึงเข้าใจว่า แวมไพร์
ตัวจริงคงหลบหนีไปหาเหยื่อที่อื่นห่างไกลออกไป…
ยละเอียด

วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เทพเจ้ากรีก

ซูส - ราชาแห่งเทพ

       
       
ซูส (Zeus) เ ป็นราชาของบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายและเหล่ามนุษย์บนโลก ซูสมีอาวุธเป็น “Thunderbolt (สายฟ้า)”  
      สัญลักษณ์ประจำพระองค์คือสายฟ้า โคเพศผู้ นกอินทรี และต้นโอ๊ก

      พระองค์เป็นพระโอรสองค์สุดท้องของไททันโครนัส (Cronus) และไททันรีอา (Rhea) ในหลายๆ ตำนานกล่าวว่าพระองค์ได้สมรสกับเทพีเฮร่า (Hera) แต่ก็มีสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองดอโดน่า (Dodona) ที่อ้างว่าคู่สมรสของเทพซุสแท้จริงแล้วคือเทพีไดโอเน่ (Dione) นอกจากนี้มหากาพย์อีเลียด (Illiad) ยังกล่าวไว้ว่าเทพซุสเป็นพระบิดาของเทพีอโฟรไดต์ (Aphrodite) ที่กำเนิดจากเทพีไดโอเน่อีกด้วย เทพซุสมักมีชื่อเสียงในพฤติกรรมนอกลู่นอกทางเรื่องชู้สาวของพระองค์ ซึ่งยังรวมไปถึงความสัมพันธ์กับเด็กหนุ่มนามกานีเมดี้ (Ganymede) ด้วยเช่นกัน พฤติกรรมของพระองค์ทำให้เกิดผู้สืบเชื้อสายอยู่หลายองค์และหลายคนด้วยกัน อาทิเช่น เทพีอาธีน่า (Athena) เทพอพอลโล (Apollo) และเทพีอาร์ทีมิส (Artemis) เทพเฮอร์มีส (Hermes) เทพีเพอร์ซิโฟเน่ (Persephone) เทพไดโอนีซุส (Dionysus) วีรบุรุษเพอร์ซีอุส (Perseus) วีรบุรุษเฮอร์คิวลีส (Hercules) เฮเลนแห่งทรอย (Helen) กษัตริย์ไมนอส (Minos) และเหล่าเทพีมิวเซส (Muses) ส่วนผู้สืบเชื้อสายที่เกิดจากเทพีเฮร่าโดยตรงได้แก่เทพเอรีส (Ares) เทพีเฮบี (Hebe) และเทพเฮฟาเอสตัส (Hephaestus)

      เทพซูสมีพี่น้องซึ่งเป็นเทพปกครองโลกร่วมกัน 5 องค์ ได้แก่
1.เทพเฮดีส  จ้าวแห่งยมโลก เป็นผู้ปกครองพิภพบาดาลและโลกคนตาย มีเทพีเพอร์ซิโฟเนธิดาเทพีเซเรสเป็นมเหสี
2.เทพโพไซดอน จ้าวแห่งท้องทะเล ปกครองน่านน้ำเมดิเตอร์เรเนียนและน้ำที่ใช้ประโยชน์ได้ มีเทพีแอมฟิไทร์หรือ อัมฟิตรีติ เป็นมเหสี
3.เทพีเซเรส เทพีแห่งพันธุ์พืช ธัญญาหารและการเพาะปลูก มีธิดากับเทพซุสหนึ่งองค์คือ เทพีเพอร์ซิโฟเน
4.เทพีเฮรา หรือ จูโน เทพีแห่งการสมรส เป็นมเหสีของเทพซุส ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องหึงหวง มีโอรสและธิดากับเทพซุส 3 องค์คือ เฮฟเฟสตุส ฮีบีกับ อาเรส

เฮรา -  ราชินีแห่งสวรรค์
      ในเรื่องการแสวงหาขนแกะทองคำเฮราคอยให้ความช่วยเหลือและดลใจวีรบุรุษหลายคนให้มีความกล้าหาญ เฮรานั้นมีธิดาอยู่องค์หนึ่งชื่ออิลธยา ซึ่งก็มีหน้าที่ดูแลการคลอดบุตร วัวและนกยูงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเฮรา เมืองอาร์โกสนั้นก็เป็นเมืองที่เฮราชอบพำนักอยู่ที่สุด
โพไซดอน -  เทพเจ้าแห่งท้องทะเล
      เฮร่า (Hera) ราชินีแห่งสวรรค์ เป็นทั้งน้องสาวของซูสและเป็นภรรยาด้วย เฮร่าเป็นเทพีแห่งการให้กำเนิดทารก การสมรส และสตรี สัตว์ประจำพระองค์คือ นกยูง
      มีโคลงบทหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า "เฮราเป็นราชินีแห่งบัลลังค์ทอง เป็นยอดแห่งสาวงาม และความสดใสกว่าบรรดาสตรีทั้งปวง ได้รับความเชื่อถือในถิ่นโอลิมปัส แม้แต่ซีอุสก็ต้องให้เกียรติเธอ" 



โพไซดอน หรือ โพเซดอน หรือ โปเซดอน   เทพเจ้าแห่งท้องทะเลและมหาสมุทร ผู้ปกครองดินแดนแห่งท้องน้ำ ตั้งแต่แหล่งน้ำจืด เช่น แม่น้ำ ลำคลอง จนถึงใต้บาดาล มีสามง่ามเป็นอาวุธ บางตำนานกล่าวว่ามีท่อนล่างเป็นปลา นอกจากนี้แล้วยังถือว่าเป็นเทพแห่งแผ่นดินไหว และเป็นเทพแห่งม้าด้วย
รูปลักษณ์ของโพเซดอน ส่วนมากจะปรากฏเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างกำยำล่ำสัน มีหนวดเครา ถือสามง่ามเป็นอาวุธ ซึ่งสามง่ามนี้มีอิทธิฤทธิ์มาก สามารถดลบันดาลให้เกิดทะเลคลั่งหรือแผ่นดินไหวได้ ครั้งหนึ่งโพเซดอนเคยคิดที่จะโค่นอำนาจของซุส โดยร่วมมือกับเฮราและอะธีนา แต่ไม่สำเร็จ จึงถูกซุสลงโทษ โดยการให้ไปสร้างกำแพงเมืองทรอยร่วมกับอพอลโลด้วยเช่นกัน
โพเซดอน มีพาหนะเป็น “ม้าน้ำเทียมรถ”  ที่มีส่วนบนเป็นม้าและท่อนล่างเป็นปลา ซึ่งบางครั้งจะพบรูปโพเซดอนอยู่บนรถเทียมม้าน้ำนี้ขึ้นมาจากทะเล

วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ประวัติวันคริตมาส

ประวัติวันคริสต์มาส
          คำว่า คริสต์มาส ภาษาอังกฤษเขียนว่า Christmas ดังนั้นอย่าลืม "ต์" อยู่ที่คำว่า คริสต์ (Christ) ไม่ใช่คำว่า "มาส" (Mas) Christmas มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า โดยพบคำนี้ครั้งแรกในเอกสารโบราณในปี ค.ศ.1038 ภายหลังแปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันเกิดของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซ่าร์ ออกัสตัส แห่งโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็ขานรับนโยบาย อย่างไรก็ตามในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ โดยตั้งแต่ปีค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปีค.ศ.64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปีค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย สำหรับองค์ประกอบในงานฉลองวันคริสต์มาสมีความเป็นมาเช่นกัน เริ่มที่คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลง" ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย สำหรับ "ซานตาคลอส" เซนต์นิโคลัสแห่งเมืองมีรา สมัยศตวรรษที่ 4 ได้รับการขนานนามให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี ปิดท้ายที่ต้นคริสต์มาส หรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน ต้องย้อนไปศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมามาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก

คริสต์มาส คือการฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า เพราะการร่วมพิธีมิสซา เป็นประเพณี สำคัญที่สุด ที่ชาวคริสต์ถือปฎิบัติกันในวันคริสต์มาส คำว่า Christes Maesse พบครั้งแรกในเอกสาร โบราณ เป็นภาษาอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1038 และคำนี้ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas คำทักทายที่เราได้ฟังบ่อย ๆ ในเทศกาลนี้คือ Merry Christmas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ เพราะฉะนั้น คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพร คนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส