วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

ตำนานแวมไพร์

ตำนานแวมไพร์


    ชื่อนี้หลายๆคนคงจะรู้จักกันดีหากจะกล่าวถึงผีดูด เลือดที่โด่งดังที่สุดคงจะหนีไม่พ้น Dracula ครับ แต่ว่าแวมไพร์นั้นมีมานานแค่ไหนแล้วยังไม่มีใครทราบ ว่ากันว่าแวมไพร์ตนแรกคือ Judas สาวกพระเยซูที่ไปแจ้งข่าวให้พวกโรมันรู้ในคืนอาหารคำมื้อสุดท้ายและเป็นเหตุ ให้พระเยซูถูกจับตรึงไม้กางเขน Judas ผู้นี้ภายหลังรู้สึกสำนึกผิดเลยคิดฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอกับต้นไม้แต่ว่าทำ ยังไงตัวเองก็ไม่ตายเพราะถูกผู้คนสาปแช่งให้เป็นอมตะ มีชีวิตอยู่ได้แค่ตวันลับขอบฟ้าและลิ้มรสได้แต่เลือดสด Lucifer หรือซาตานเทพผู้ทรยศสวรรค์เห็นดังนั้นจึงได้ครอบงำจิตใจของ Judas ถือกำเนิดเป็นแวมไพร์ตนแรกขึ้น

แต่เท่าที่ผมดูมา แวมไพร์ตนแรกไม่น่าจะใช่ Judas เพราะตำนานแวมไพร์นั้นมีมาก่อนหน้านั้นตั่งแต่สมัยกรีกโบราณ 3000 ปีก่อน Lamiae เป็นสตรีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวมักเที่ยวดูดเลือดเด็กเล็กๆจนตาย
และยังชีพด้วยเลือดสดๆเช่นนั้นตลอดมา โรมันซึ่งรับอารยธรรมจากกรีก ก็มี " ลาเมียเอ
" ของตนเหมือนกัน เมื่อโรมันแพร่อิทธิพลให้กับชาติอื่นๆ แต่ในบางแห่งก็กล่าวว่าแวมไพร์ตนแรกคือ Lilith ซึ่งเป็นมนุษย์เพศหญิงที่ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมอาดัมแต่ทิ้งอาดัมไปอยู่กับ ซาตาน ดังนั้นพระเจ้าเลยสร้างอีฟขึ้นมาแทนที่

ผีดูดเลือด " ฝรั่งเรียกว่า แวมไพร์ ( Vampire )
ซึ่งที่จริงเป็นชื่อของค้างคาวชนิดหนึ่งที่มีอยู่ดาษดื่นในทวีปอเมริกาใต้
มันมักกัดกินเลือด จากสัตว์อื่นที่ใหญ่กว่ามันจนตายไปคาที่ คำว่า แวมไพร์
มาจากภาษาฮังกาเรียนว่า Vampir
อีกต่อหนึ่งและดินแดนฮังการี่นี่เองที่มีตำนานผีดูดเลือดโด่งดังกว่าที่อื่นในโลก
เคาน์แดร็กคูล่าทั้งตัวจริงและตัวปลอมต่างก็มีถิ่นฐานบ้านเกิดในดินแดนทรานส์ซิลวาเนียใกล้เคียงกับฮังการี
- รูมาเนีย นี้หละ

นักจิตวิทยาพยายามศึกษาค้นคว้าว่าเหตุใดจึงเกิดมีตำนานเกี่ยวกับผีดูด เลือดแวมไพร์ขึ้นในโลกในที่สุดก็ลงความเห็นน่าจะเกิดจากสมัยดึกดำบรรพ์ที่คน เราเพิ่งเริ่มพัฒนาขึ้นมาจากสัตว์นั่นเอง
คนสมัยนั้นนิยมกินเนื้อคนด้วยกัน
อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า"แคนนิบาลิสม์"Cannibalismถึงแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านเลย ไปแต่สัญชาติญาณดึกดำบรรพ์ที่ป่าเถื่อนนั้นยังคงติดแน่นอยู่ในสันดานของคน บางคนอย่างถอนไม่ออกสัญชาติญาณป่าเถื่อนนี้จึงแสดงออกมาในรูปของความโหดร้าย ทารุณ
ฆ่ากันแล้วดื่มเลือดกัน เป็นต้น การรักษาพยาบาลคนประเภทนี้ต้องรักษาทางจิต
ซึ่งก็มีน้อยรายนักที่จะหายได้

ประเพณีทางศาสนาเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดผีดูดเลือดทางอ้อมขึ้น
กล่าวคือ ศาสนาเก๋ากึ๊กส์ต่างๆ มักเกี่ยวข้องกับความโหดร้าย
เช่นพวกอินเดียนแดงในแถบอเมริกาใต้และอเมริกากลางบางพวก
นิยมเชือดคอเหยื่อเอาเลือดเซ่นสังเวยเทวรูปพวกฮินดูโบราณก็เหมือนกัน
มักเชือดคอสัตว์เป็นๆสังเวยเจ้าแม่กาลีหรือเจ้าแม่ทุรคาอยู่เสมอ
มีวิหารแห่งหนึ่งในอินเดียที่เซ่นสังเวยเจ้าแม่กาลีชนิดไม่ยอมให้เลือดแห้งที่บูชาเลยทีเดียว
การบูชาเทวดาแบบนี้หละทำให้คนคุ้นเคยกับเลือด และเห็นว่าเป็นของวิเศษของเทวดา
หากมนุษย์ได้เสพเข้าบ้างอาจเก่งกาจเหมือนเทวดาก็ได้ บางคนจึงลองดื่มเลือดดู
จึงก่อให้เกิดนิยายผีดูดเลือดขึ้น เป็นต้น

คนแทบทุกคนมีแนวโน้มจะกลัวผีอยู่ในส่วนลึกของจิตใจด้วยกันทั้งนั้นเมื่อพบเห็นความผิดปรกติบางอย่างของคนด้วยกัน
ก็มักเอาไปโจษขานต่อเติมเสริมแต่งให้กลายเป็นเรื่องผีที่น่าสะพรึงกลัวใหญ่โตเช่น
คนบางคนฆ่าเพื่อนตายแล้วกินเลือดไปบ้างเช่นนี้
แทนที่จะพิจารณาว่าบุคคลนั้นมีความวิปริตทางจิต
ก็ลงความเห็นว่าเขาเป็นผีดูดเลือดหรือผีดิบเข้าไปเลย
เสียงเล่าลือเกี่ยวกับผีดูดเลือดจึงกระฉ่อนไปทั่วโลกจนถึงเดี๋ยวนี้
แม้ในปัจจุบันอันเจริญเต็มที่ด้วยวิทยาการทันสมัย
ก็ยังมีคนเป็นจำนวนมากที่เชื่อถือในเรื่องผีดูดเลือดอาละวาดอยู่เสมอ
จนเป็นข่าวหนังสือพิมพ์เกรียวกราวเกี่ยวกับการล่าผีดูดเลือด

ผีดูดเลือดนั้นตามตำนานและนิยายต่างๆไม่มีทางป้องกันได้
แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็อาจหาทางกำจัดได้ด้วยกรรมวิธีดังต่อไปนี้ตามหาหลุมศพผีดูดเลือดนั้นให้พบ
ผีดูดเลือดจะกลับหลุมก่อนฟ้าสว่างเพราะมันกลัวแสงแดด เมื่อพบศพนอนอยู่ในหลุม
ก็ให้ใช้ไม้เสี้ยมปลายแหลมแทงทะลุอกในครั้งเดียว คือจะแทงซ้ำแทงซ้อนกันไม่เกิดผล
ผีดูดเลือดจะไม่ตายสนิทเมื่อแทงอกทะลุหัวใจแล้วยังไม่พอ
ต้องเอากระเทียมยัดปากศพ แล้วตัดหัวให้ขาดในแับเดียวด้วย
นับเป็นการกำจัดผีดูดเลือดคืนชีวิตอย่างเด็ดขาด
เสร็จสรรพแล้วก็เผาเสียให้สิ้นซากไปเลย

ว่ากันว่า ผีดูดเลือดซึ่งมักเป็นฝรั่งนั้น
กลัวสิ่งของอยู่หลายอย่างเหมือนกัน ที่กลัวมากที่สุดคือไม้กางเขน
ข้าวเกรียบศักดิ์สิทธิ์และดอกกระเทียม
คนที่กลัวผีประเภทนี้จึงแขวนช่อดอกกระเทียมไว้ตามประตูหน้าต่างบ้าน แต่สิ่งที่ทำลายผีดิบได้ฉกาจฉกรรจ์อีกอย่างนอกจากมือคนที่จะตอก ไม้แหลมเข้ากับอกมันแล้ว
ได้แก่แสงแดด ซึ่งจะทำให้มันมอดไหม้เป็นจุณไป
หรือสายน้ำไหลก็ทำให้ผีดุดเลือดสิ้นฤทธิ์เอาได้ง่ายๆด้วยในบรรดาคดี " ผีดูดเลือด "
ตัวจริงทั้งหลาย ในแฟ้มคดีอาญาของตำรวจทั่วโลกนั้น
มีอยู่คดีหนึ่งที่ครึกโครมเป็นข่าวที่กล่าวขวัญทั่วไป
นั่นคือ เรื่องราวของผีดูดเลือดสาวซึ่งออกอาละวาดสดๆร้อนๆในปี 1970 -
1980 นี้เอง มิใช่สมัยโบร่ำโบราณที่ไหนเหตุเกิดที่เมือง มานอส ประเทศ บราซิล
มีผู้พบศพเด็กอายุประมาณ 10 ขวบคนหนึ่งนอนตายอยู่ในเวลาพลบค่ำ
ก่อนพบศพเด็กคนนั้นพยานได้เห็นหญิงสาวสวยคนหนึ่งเดินจ้ำออกไปอย่างลุกลี้ลุกลนเจ้าหล่อนผู้นั้นผิวขาวสวยผมสลวยลงเคลียไหล่
แต่งกายด้วยกระโปรงชุดมินิสเกิ๊ตสีอ่อน
และสวมถุงน่องสีดำเมื่อหล่อนลับตัวไปแล้วพยานจึงเข้าไปพบศพเด็กชายคนนั้นอยู่ข้างพุ่มไม้ทึบ
สิ้นใจแล้วแต่เนื้อตัวยังอุ่นอยู่ ตรงลำคอมีรอยรูเล็กๆ 2 รู
ตรงจุดที่เป็นเส้นเลือดใหญ่พอดี
สันนิษฐานว่าคงถูกกัดเจาะด้วยเขี้ยวแหลมคมเหมือนเขี้ยวสัตว์ต่อมาก็เกิดคดีเด็กเสียชีวิตแบบนี้อีก
2 - 3
รายทุกรายล้วนแต่มีผู้พบเห็นสตรีสาวในชุดมินิสเกิ๊ตป้วนเปี้ยนอยู่ด้วยทั้งนั้น
จึงโจษขานกันไปต่างๆนานาบ้างก็แจ้งความให้ตำรวจจับ
ซึ่งตำรวจก็ไปซุ่มด้อมๆมองๆตามที่ซึ่งคิดว่ามีผีดูดเลือดสาวสวยจะไป แต่ก็ปราศจากผลจนกระทั่งคืนหนึ่งชายหนุ่มคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นขึ้นไปบน โรงพักกุมลำคอที่โชกเลือดไปให้ดูด้วยว่ามันมีรูเล็กๆเหมือนเขี้ยวสัตว์
2 รูที่นั่นเลือดไหลรินออกมาไม่หยุดชายหนุ่มเล่าว่าเขาได้พบสาวสวยคนหนึ่ง และ
แต่งชุดมินิสเกิ๊ตเดินอยู่ชายหาดเจ้าหล่อนชายหูชายตาให้เขาอย่างเป็นนัยๆ
ชายหนุ่มก็เลยเข้าไปผูกสัมพันธ์ด้วยจนกระทั่งถึงขั้นกอดรัดในความมืดแต่ทันใดนั้นเอง"
ผมรู้สึกเจ็บแปลบที่ลำคอ " ชายหนุ่มเคราะห์ร้ายเล่า "
ทำให้นึกถึงเรื่องผีดูดเลือดขึ้นได้จึงสะบัดเต็มแรงจนผู้หญิงคนนั้นผงะไปผม เห็นหล่อนอ้าปากกว้างมีเขี้ยวแหลมยาวสองซี่เปรอะเลือดของผมแดงเถือก
เห็นเท่านั้นผมก็ตกใจเกือบสิ้นสติ รีบสะบัดจนหลุดแล้ววิ่งมานี่หละครับ
"คราวนี้ตำรวจยกกำลังไปที่ชายหาดนั้นทันทีแต่ไม่พบร่องรอยสาวสวยผีดูดเลือดคนนั้นเลยแม้แต่เงาจนป่านนี้ก็ยังหาตัวไม่ได้
แต่คดีคนถูกดูดเลือดจนตายไม่เกิดขึ้นอีกแล้วจึงเข้าใจว่า แวมไพร์
ตัวจริงคงหลบหนีไปหาเหยื่อที่อื่นห่างไกลออกไป…
ยละเอียด

1 ความคิดเห็น: